เที่ยวเกียวโตด้วยตัวเอง วันที่ 3
Monday April 9, 2018
#JAPAN #TRAVELBYMYSELF #MYPLAN #NEWBLOGGER #บล็อคเกอร์หน้าใหม่ #เที่ยวเอง #วางแผนเอง #ญี่ปุ่น #osaka #kyoto #โอซาก้า #เกียวโต
เมื่อเราซื้อพาส 7 วัน พาสใช้ลดอะไรได้บ้างอย่าลืมใช้สิทธิ์กันนะ
พาสที่ใช้วันนี้มีอะไรบ้าง : Kansai-Hukuriku area Pass 7 days, Kyoto City Subway One-Day Pass + jr pass + sagano line
ซื้อ Kyoto City Subway One-Day Pass ซัปเวย์อย่างเดียว Adult 600 yen
ที่ สถานีรถไฟใต้ดินได้เลย หรือตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติของสถานีรถไฟใต้ดินทุกสถานีในเกียวโต
8โมง : เรา ใช้ Kyoto City Subway One-Day Pass นั่ง subway จากสถานี subway marutamachi ไปสถานีเกียวโต
ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ Kyoto City Subway One-Day Pass : https://www.talonjapan.com/kyoto-subway-one-day-card/
8โมง : เรา ใช้ Kyoto City Subway One-Day Pass นั่ง subway จากสถานี subway marutamachi ไปสถานีเกียวโต
ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ Kyoto City Subway One-Day Pass : https://www.talonjapan.com/kyoto-subway-one-day-card/
9 โมง ใช้ Kansai-Hukuriku area Pass 7 days นั่ง JR จาก Kyoto station 京都駅 ไป Uji station
เป็นการใช้ Kansai-Hukuriku area Pass 7 days ครั้งแรก ดังนั้นต้องยื่นให้เจ้าหน้าที่ประทับตราวันที่ใช้งานครั้งแรกด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับ Kansai-Hukuriku area Pass 7 days : http://www.westjr.co.jp/global/en/ticket/pass/kansai_hokuriku/
หมายเหตุ คงที่จะใช้บัตรนี้ก่อนซื้อ ต้องศึกษาว่าสายรถไฟใดบ้างที่ครอบคลุม หรือเมืองใดบ้างที่ครอบคลุมเพื่อที่เราจะได้เลือกพาสที่คุ้มที่สุดค่ะ
สถานที่ : ByodoIn Omote-sando (ถนนสายชาเขียว)
การเดินทาง : ใช้ Kansai-Hukuriku area Pass 7 days เพื่อนั่ง JR จาก Kyoto station 京都駅 ไป Uji station宇治駅
ถนนสายนี้จะมีพวกขนมที่ทำด้วยชา ขนมมีพวกแป้งห่อถั่วแดง ถั่วแดงห่อแป้งหรืออะไรทำนองนี้ สลับกันอยู่ชาเขียวจริงๆมีทั้งไอศกรีมชาเขียวใส่โคน ของหวานที่นี่ไม่หวาน ไม่หวานมาก มีผงชาเขียวโรยให้ด้วย หรือน้ำชาเขียว ข้างในก็เหมือนๆกัน ถึงแม้ว่าจะห่อต่างกัน
สถานที่ : Byodoin Temple (平等院, Byōdōin)
การเดินทาง : เดินตามแผนที่นี่เลยผ่านถนนชาเขียวแล้วก็จะเข้าตัววัดนะ
ห้องโถงมีจุดเด่นอยู่ด้านหลังของเหรียญสิบเยนของญี่ปุ่น
วัดเบียวโดอิน (平等院, Byodoin Temple) เป็นตัวอย่างที่ดีมากของสถาปัตยกรรมแบบโจโดหรือ
Buddhist Pure Land
architecture
โดยประกอบไปด้วยการจัดสวนที่แสดงถึงดินแดนบริสุทธิ์ต่างอุดมคติในศาสนาพุทธและยังเป็นต้นแบบให้กับวัดที่สร้างในภายหลังอีกด้วย
เบียวโดอินถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 998 เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศของนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลในสมัยนั้นไม่ใช่เพื่อเป็นวัด
แต่ลูกชายได้เปลี่ยนเบียวโดอินให้เป็นวัดในปี 1053 พร้อมกับสร้างห้องโถงฟินิกซ์
(Phoenix Hall) ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
และยังกลายเป็นสัญลักษณ์ด้านหลังของเหรียญเยนด้วย
อาคารเบียวโดอินนั้นถูกทำลายลง และสร้างขึ้นใหม่หลายครั้งตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา
แต่ห้องโถงฟีนิกซ์นั้นยังอยู่เหมือนเดิมตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ทำให้กลายเป็นหนึ่งในอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่
อาคารหลังที่สำคัญสุดคือ “Hoodo” ที่เก่าแก่และสวยงามจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ตัวอาคารตั้งใจสร้างให้เป็นลักษณะคล้ายหงส์ในตำนานแบบจีน
โดยมีอาคารตรงกลางเป็นส่วนของลำตัวหงส์ และมีปีกของอาคารออกไปสองข้าง
เป็นอาคารที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวย
มีเงาสะท้อนจากน้ำและต้นไม้สวยๆโดยรอบ
นอกจากอาคารนี้แล้ว
ยังมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่ให้เข้าชมด้วย แต่ภายในห้ามถ่ายภาพ
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 600 เยน , วันปิดทำการ:
เปิดให้บริการทุกวัน
เวลาเปิด-ปิด: วัดเบียวโดอิน
- 8:30 to 17:30 (entry until
17:15)
Treasure house
9:00 to 17:00 (entry until 16:45)
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.japan-guide.com/e/e3923.html
ถ้าคุณสะสม ตราประทับ Goshuin แล้วนั้น
เมื่อเลี้ยวซ้าย ต้องเดินผ่าน Main Hall ไปก่อน จะเจอห้องที่รับเขียนตราประทับด้านซ้ายมือนะ
เมื่อได้ตราประทับแล้วก็สามารถย้อนกลับมาถ่ายรูปคู่กับ Main Hall ได้
นอกจากจะไปทำบุญตามวัดและศาลเจ้าในญี่ปุ่นแล้ว ลองมาไล่เก็บตราประทับหรือโกะชุอิน (Goshuin) ตามประเพณีโบราณกันดีกว่า…
โกะชุอิน (Goshuin) หมายถึง ตราที่เราจะได้รับการประทับเมื่อไปนมัสการวัดหรือศาลเจ้า ลักษณะเป็นตราประทับสีแดง พร้อมด้วยตัวอักษรเขียนด้วยหมึกสีดำ ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวญี่ปุ่นมักจะนำกลับไปเก็บไว้ที่บ้าน โดยวางไว้ใกล้ๆ กับพระพุทธรูป ตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกอันงดงามรวมถึงดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้โกะชุอินได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะเป็นผลงานศิลปะอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
“โกะชุอินโจ (Goshuincho)”
สมุดสำหรับเก็บสะสมตราประทับโกะชุอิน (Goshuin)
ประเทศญี่ปุ่นนั้นเต็มไปด้วยวัดและศาลเจ้ามากมายมาตั้งแต่สมัยโบราณ และก็มีธรรมเนียมในการขอให้ทางวัดหรือศาลเจ้าที่ตนไปนมัสการนั้นช่วยประทับตราโกะชุอินนี้ลงบนสมุดโน้ตที่เรียกว่า โกะชุอินโจ (Goshuincho) เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานว่าได้เคยไปนมัสการมาแล้ว ในปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากที่นิยมเดินทางไปยังจุดเสริมดวง หรือที่เรียกกันว่าเป็น power spot (สถานที่ๆ ช่วยให้ดวงชะตาดีขึ้น) จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ “โกะชุอินโจ” กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ซึ่งก็มีหลายแบบหลากสไตล์ ทั้งแบบญี่ปุ่นโบราณ แบบหลากสีสัน หรือแบบที่มีคาแรคเตอร์จากการ์ตูนเรื่องต่างๆ เป็นต้น
1. ตรวจสอบข้อมูลล่วงหน้า
เนื่องจากไม่ใช่วัดและศาลเจ้าทุกแห่งจะมีตราประทับโกะชุอิน จึงควรตรวจสอบข้อมูลล่วงหน้าเพื่อความแน่ใจก่อนเดินทางไปนมัสการ2. เดินทางไปนมัสการด้วยตนเอง
เนื่องจาก โกะชุอิน นั้นเป็นหลักฐานเพื่อยืนยันว่าบุคคลนั้นๆ ได้เดินทางมานมัสการยังวัดหรือศาลเจ้าแห่งนั้นๆ แล้ว จึงห้ามมิให้มีการซื้อขายกัน นอกจากนี้การเดินทางไปยังวัดหรือศาลเจ้าเพียงเพื่อไปขอประทับตราโกะชุอิน โดยไม่เข้านมัสการด้านใน ก็ถือเป็นการผิดมารยาทอีกด้วย3. เตรียมสมุด โกะชุอินโจ (Goshuincho) ของตนเองไปล่วงหน้า
เนื่องจากเป็นการไม่สมควรที่จะขอให้ทางวัดหรือศาลเจ้าประทับตราโกะชุอินลงบนกระดาษหรือสมุดบันทึกทั่วไป จึงควรเตรียมสมุดโกะชุอินโจไปเองล่วงหน้า ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนสไตล์ญี่ปุ่น และมีจำหน่ายตามวัดหรือศาลเจ้าใหญ่ๆ อีกด้วย และด้วยดีไซน์ที่มีให้เลือกหลากหลาย เชื่อว่าทุกคนจะสามารถหาโกะชุอินโจที่ถูกใจได้อย่างแน่นอน4. รอด้วยความสงบเรียบร้อย
หลังจากนมัสการเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถแจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่ของทางวัดหรือศาลเจ้าได้ ว่าต้องการขอให้ประทับตราโกะชุอิน ซึ่งทางวัดและศาลเจ้าก็จะค่อยๆ ตั้งใจเขียนตัวอักษรให้ทีละตัวอย่างประณีตบรรจง เพราะฉะนั้นเราจึงควรรอเงียบๆ จนกว่าจะเขียนเสร็จ ซึ่งระหว่างรอ ก็ไม่ควรจะดื่มหรือทานอะไร ไม่ควรพูดคุยสัพเพเหระ และไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากจะเป็นการเสียมารยาท เช่นเดียวกันกับเวลาที่เราเข้านมัสการและสวดอธิษฐานขอพร5. กล่าวแสดงความขอบคุณ
หลังจากได้รับตราประทับเรียบร้อยแล้ว ควรกล่าวแสดงความขอบคุณ หรืออาจบริจาคเงินเป็นการทำบุญก็ได้ ซึ่งไม่มีการกำหนดตายตัวว่าต้องเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ แต่โดยทั่วไปมักอยู่ที่ประมาณ 300-500 เยน
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Goshuin ภาษาไทย : https://www.jnto.or.th/newsletter/goshuin/
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Goshuin ภาษาไทย : http://www.kyotoursjapan.com/goshuin/
หลังจากที่เราออกจากวันเบียวโดเราก็อาหารกินนะคะ
เราเลือกกินร้านแรกที่เจอเลยอยุ่ซ้ายมือค่ะ
ร้านอยู่ตรงข้ามกับที่จอดรถ
เราโชคดีที่ชั้นล่างเต็มก็เลยได้นั่งชั้นบน ซึ่งมีแค่กลุ่มเรา
วิวที่มองจากด้านบนลงไปค่ะ
สถานที่ : Fushimi Inari Taisha Shrine 伏見稲荷大社
ประมาณบ่ายโมง ใช้ Kansai-Hukuriku area Pass 7 days เพื่อนั่ง JR จาก JR Uji Station宇治駅 ไป JR Inari Station 稲荷駅
ประมาณบ่าย 2 ถึง Inari Station เข้าห้องน้ำก่อนค่ะที่ทางออกแล้วก็เดินออกประตูหน้าห้องน้ำเลยเพราะว่าเค้าบอกว่าถ้าใช้พาสออกประตูนี้ได้
ศาลเจ้าเทพอินาริ (伏見稲荷大社, Fushimi Inari Shrine) หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอก
เป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto)ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต(Kyoto) มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายหมื่นต้นจนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินาริ
ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักสิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์
การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ
และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย(บ้างก็ว่าท่านชอบแปลงร่างเป็นจิ้งจอก)
จึงสามารถพบเห็นรูปปั้นจิ้งจอกมากมายด้วยเช่นกัน
ศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มากถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีก
คาดกันว่าจะเป็นช่วงประมาณปีค.ศ. 794 หรือกว่าพันปีมาแล้ว
ตัวอาคารศาลเจ้าเองก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน
ทั้ง Romon
Gate ทางด้านหน้า และ ตัวอาคารหลักที่เรียกว่า Honden และยังมีส่วนประกอบศาลเจ้าที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง
กระจายกันอยู่รอบๆบริเวณ และทางด้านหลังศาลเจ้าจะเป็นทางเดินขึ้นเขา
ที่ปกคลุมไปด้วยเสาโทริอิ ซึ่งเสาโทริอิเหล่านี้ มาจากการบริจาค
ทั้งจากคนและองค์กรต่างๆ สามารถสังเกตเห็นได้จากตัวหนังสือข้างหลังเสา
โดยราคาเริ่มจากไม่กี่ร้อยเยนสำหรับเสาต้นเล็กๆ
ไปจนถึงหลายล้านเยนสำหรับเสาต้นใหญ่ๆ
ระหว่างทางเดินขึ้นเขาจะพบศาลเจ้าเล็กๆได้ตลอดทาง
รวมถึงเสาโทริอิแบบเล็กๆ และจิ้งจอกตัวเล็กๆด้วย
สำหรับคนที่งบน้อยสามารถเลือกบริจาคซื้อแบบเล็กๆเอามาวางได้เหมือนกัน
อีกทั้งยังมีจะมีร้านอาหารและขนมระหว่างทางที่ขายอาหารแบบชุดพิเศษให้เข้ากับสถานที่เช่น
ซูชิจิ้งจอก อูด้งจิ้งจอก โดยถ้าจะเดินทั้งเขาอาจจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ด้วยระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร วนเป็นวงกลมลงมาที่จุดเดิม
ช่วงประมาณ 1 กิโลเมตรแรกของทางขึ้นเขาจะมีจุดชมวิวที่เรียกว่า
ทางแยกโยซึซึจิ(Yotsutsuji
intersection) ที่จะสามารถเห็นวิวเมืองโตเกียวได้
ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะจบการเดินทางที่จุดชมวิวแห่งนี้เพราะทางเดินขึ้นเขาต่อไปก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเดิมนัก
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.japan-guide.com/e/e3915.html
ค่าเข้า : free.
เวลาทำการ : 24 Hours.
สถานที่ : Sagano Ramantic train [Kameoka- Arashiyama]
ประมาณ บ่ายสามโมงยี่สิบ ใช้ Kansai-Hukuriku area Pass 7 days เพื่อนั่ง JR จาก JR Inari Station 稲荷駅 ไป JR Umahori Stataion
เวลาประมาณสี่โมงยี่สิบ เดินจาก JR Umahori Stataion ไป Kameoka Torokko Station
วิธีการเดิน
จากสถานีรถไฟ JR Umahori เดินออกจากสถานี เลี้ยวซ้ายเมื่อถืงทางลอดสะพานให้เลี้ยวซ้ายลอดสะพานไป แล้วเลี้ยวขวา
เรามีตั๋ว Sagano 16 Car no. 3
ออกจาก Kameoka Torokko Station トロッコ亀岡駅 เวลา 16.29 และถึง Arashiyama Torokko Station トロッコ嵯峨駅 เวลา 17.00
รถไฟ Sagano Romantic วิ่ง 25 นาทีจากสถานี Saga torokko ไปยังสถานี Kameoka torokko ตามความงามอันงดงามของ Hozukyo Ravir ทั้งสี่ฤดูกาลมีความน่ารื่นรมย์ต่างกัน
รถจะออกจากสถานี Saga torokko เป็นสถานีแรกของรถไฟอยู่ติดกับสถานี JR Saga-Arashiyama สถานีนี้มีบริการเช่าจักรยาน และมีรถไฟจำลองที่มีขนาดเล็กที่จัดทำขึ้นใหม่
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://sagano-kanko.co.jp/en/
ค่าโดยสาร : ราคาปกติ (เที่ยวเดียว) ผู้ใหญ่ 620 เยน [12 ปี ขึ้นไป]
เด็ก310 เยน [1-11 ปี]
เวลาทำการ : 9.00–18.10 ตามตารางรถไฟ
เวลาประมาณ 5 โมงเย็น เรามาถึง Arashiyama Torokko Station トロッコ嵯峨駅
ไม่ใช่ป้ายสุดท้ายแต่เราลงที่นี่เพื่อไปป่าไผ่
หลังจากถ่ายรูป 10 นาที่ที่หน้ารถไฟแล้ว เราเดินไป Arashiyama Bamboo Grove กัน
ประมาณ 5โมง 20 นาที มาถึง Arashiyama Bamboo Grove
สถานที่ : Arashiyama Bamboo Grove
เป็นเส้นทางเดินเล็กๆที่ตัดผ่านในกลางสวนป่าไผ่ สามารถเดินเล่นหรือขี่จักรยานผ่านก็ได้ ให้บรรยากาศที่แปลกและหาได้ยาก ยิ่งถ้าช่วงไหนที่มีแสงอาทิตย์รอดผ่านตัวป่าไผ่ลงมายังพื้นด้านล่างก็จะยิ่งสวยมาก โดยเฉพาะถ้ามีลมพัดมาพร้อมกันก็จะเป็นเสียงกิ่งก้านของต้นไผ่กระทบกันไปมา บริเวณใกล้ๆจะเป็นร้านขายของพื้นเมืองที่ทำมาจากต้นไม้ เช่น ตะกร้าไม้ไผ่, ถ้วย, กล่องใส่ของ หรือเสื้อเสื้อสานจากไผ่ เป็นร้านดั้งเดิมของคนท้องถิ่น
ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี
เวลาเปิด-ปิด: เปิด 24 ชม.
สถาที่ : Togetsukyō Bridge หรือ Moon Crossing Bridge
/free
เราเดินจาก Arashiyama Bamboo Grove มาที่สะพานนี้
สะพานไม้ เดินไปถ่ายรูป Moon Crossing Bridge” เป็นหนึ่งในสัญลักษ์ของเมืองอาราชิยาม่า ถูกสร้างขึ้นในสมัยเฮอันและมีการบูรณะซ่อมแซมอยู่เรื่อยๆ สะพานนี้มีความสวยงามอย่างมากเพราะด้านหลังนั้นเป็นภูเขาสูงใหญ่และด้านล่างเป็นแม่น้ำที่ทั้งสองฝั่งมีแนบต้นซากุระเรียงรายเรียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ทำให้เป็นจุดชมซากุระที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง ผู้คนนิยมมาเดินเล่นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงเทศกาลฮานามิหรือฤดูชมซากุระ
ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี
วันปิดทำการ: เปิดทุกวัน
เวลาเปิด-ปิด: เปิด 24 ชม.
เส้นทาง : เกียวโต — Marutamachi สถานีซับเวย์ เพื่อรับกระเป๋าที่ฝากไว้ Bird Hostel.
สำหรับการจองและถามข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของทางที่พักได้ที่นี่ นะคะ
website : https://www.birdhostel.com/th-th
ใช้ Kyoto City Subway One-Day Pass เพื่อนั่ง subway จาก Kyoto station ไป Marutamachi Station และเดินไป Bird Hostel. เพื่อรับกระเป๋าที่ฝากไว้
เส้นทาง : Marutamachi — Kyoto Station.
เรารับกระเป๋าที่ฝากไว้ ก็กล่าวขอบคุณและอำลา พร้อมกับลากกระเป๋าไปสถานี Marutamachi
มันยากลำบากมากสำหรับกระเป๋าที่มีของเยอะและใบใหญ่เพราะสถานีนี้ไม่มีลิฟท์นะคะ
เราใช้ Kyoto City Subway One-Day Pass เพื่อนั่ง subway จาก Marutamachi Station ไป Kyoto station.
ดังนั้นวันนี้เราใช้ Kyoto City Subway One-Day Pass 3 ครั้งด้วยกันค่ะ
ก่อนเดินทางได้ศึกษาข้อมูลแล้วว่าราคาปกติ ผู้ใหญ่ 210–350 yen ต่อครั้ง
ดังนั้นถ้าเราใช้มากกว่า 3 ครั้งแน่ๆ เราซื้อ Kyoto City Subway One-Day Pass คุ้มกว่า
นั่นก็หมายความว่าเราต้องวางแผนเที่ยวของแต่ละวันเสร็จแล้วเราถึงจะสามารถเลือกพาสได้
สถานที่ : Drop Inn Osaka (hostel)
สำหรับการจองและถามข้อมูลเพิ่มเติมเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของทางที่พักได้ที่นี่ นะคะ
website : http://www.dropinn-osaka.com/english/
เราใช้ Kansai-Hukuriku area Pass 7 days เพื่อนั่ง Jr จาก Kyoto sta.京都駅 ไป Osaka Station 大阪駅
และใช้ Kansai-Hukuriku area Pass 7 days เพื่อนั่ง Jr Osaka loop line ไป Fukushima Station 福島駅
และเดินไป Drop Inn Osaka ホステル ドロップイン大阪 เพื่อ Check in และพักผ่อนที่นี่ 5 คืนด้วยกันค่ะ
— จบไปแล้ว 1 วันเร็วมากเลยค่ะการพักผ่อนเนี่ย —
ข้อคิดในวันนี้
เพราะฉันคิดว่าถ้าฉันจะเดินทางไปในเมืองสองเมืองเช่นเกียวโตและโอซาก้าฉันต้องจองโรงแรมสองแห่งด้วยกัน แต่หลังจากที่ฉันเดินทางครั้งนี้ฉันเปลี่ยนไอเดีย ถ้าฉันจะไปเที่ยวบริเวณคันไซอีกครั้งฉันจะจองโรงแรมใกล้กับสถานีรถไฟขนาดใหญ่เช่นโอซาก้าหรือเกียวโตเพื่อไปเที่ยวที่นั่น เนื่องจาก Jr Pass ครอบคลุมทุกสถานที่จึงมีเส้น Jr จึงใช้งานได้ง่าย
ฝากติดตามรีวิวดีๆ ที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นประโยชน์นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น